พบครอบครัวภูมิหลังต่างภาษารับบริการสุขภาพจิตน้อย

มีรายงานชิ้นล่าสุดที่ชี้ให้เห็นว่า เด็กและวัยรุ่นหญิง รวมถึงครอบครัวที่มาจากภูมิหลังซึ่งไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ มีแนวโน้มเข้ารับบริการทางสุขภาพจิตน้อย แต่อะไรคือต้นตอของปัญหา

The report has found that there has been little change in the prevalence of mental health cases in children over the past 20 years.

The report has found that there has been little change in the prevalence of mental health cases in children over the past 20 years. Source: AAP

รายการวิทยุ เอสบีเอส ไทย ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์  ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ

ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่ 

You can read the full article in English on SBS News website 

มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ระบุว่า 3 ใน 4 ของเด็กๆ ชาวออสเตรเลียที่มีปัญหาสุขภาพจิต ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่มีภูมิหลังจากประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า โอกาสที่จะเข้ารับการดูแลสุขภาพจิตนั้นมีน้อยที่สุด
Mental health
Boys are more likely to externalise problems. Source: AAP
โดยเราได้ตั้งเป้าในการมองเข้าไปในกลุ่มเด็กๆ ชาวออสเตรเลีย 5,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 8-13 ปี ผ่านการตอบแบบสอบถามจากพ่อแม่ เกี่ยวกับภาวะทางอารมณ์และสุขภาพจิตของพวกเขา จากนั้นก็เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ที่ได้จากฐานข้อมูลของเมดิแคร์ เพื่อสังเกตว่าพวกเขาได้เขาถึงบริการช่วยเหลือใดบ้าง

มีเด็กๆ น้อยกว่า 1 ใน 4 ที่เราพบว่าพวกเขามีปัญหาทางสุขภาพจิต เข้าพบผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพในรอบ 18 เดือน หลังจากที่เราให้พวกเขาทำแบบสอบถาม

ปัญหาทางสุขภาพจิต ซึ่งไม่มีการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ สามารถเป็นปัญหาที่ฝังราก และการรักษาจะยากลำบากขึ้น นอกจากนี้ ปัญหาสุขภาพจิตในวัยเด็กสามารถส่งผลกระทบที่ยาวนานไปตลอดชีวิต ซึ่งอาจกระทบกับการศึกษา ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น รวมถึงทำให้เกิดการว่างงาน และปัญหาอาชญากรรมได้

ดังนั้น การทำให้แน่ใจว่า ทั้งเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตได้รับการดูแลที่ทันเวลาและได้ผลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

ปัญหาทางสุขภาพจิตแบบไหนที่เกิดขึ้นในเด็กบ้าง

ประมาณร้อยละ 14 ของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 4-17 ปีนั้น มีผลวินิจฉัยที่ตรงกับภาวะปัญหาสุขภาพจิตอย่างน้อย 1 อย่าง โดยปัญหาทางสุขภาพจิตที่พบมากที่สุดในเด็กชาวออสเตรเลียในช่วงอายุดังกล่าว คือภาวะวิตกกังวล (Anxiety Disorder) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 6.9 ของเด็กๆ ในกลุ่มอายุดังกล่าว และภาวะสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder: ADHD) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 7.4

ประมาณร้อยละ 50 ของความผิดปกติทางจิตในผู้ใหญ่นั้นเริ่มต้นก่อนที่จะถึงอายุ 14 ปี นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วงปี 2017-18 มีเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี ที่มีอัตราการใช้บริการทางสุขภาพจิตที่เมดิแคร์ลดหย่อนค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด (ร้อยละ 5.1) เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่นๆ ในออสเตรเลีย

สุขภาพจิตในเด็กเล็ก

สำหรับเด็กเล็ก เราพบว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่พวกเขาจะเข้าถึงการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญเมื่อเทียบกับเด็กที่โตกว่า มีเด็กอายุระหว่าง 12-13 ปี ราวร้อยละ 20-27 ที่เข้าถึงบริการดูแลสุขภาพจิต เมื่อเทียบกับเด็กที่มีอายุระหว่าง 8-9 ปี ซึ่งการเข้ารับการดูแลนั้นอยู่ที่ร้อยละ 9-15

ในเด็กเล็ก การตอบสนองและประมวลประสบการณ์สะเทือนอารมณ์ และเหตุการณ์ที่สร้างบาดแผลในจิตใจนั้น แตกต่างจากเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นส่งผลให้การรับรู้ถึงปัญหาทางจิตของพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่า

เด็กที่มีพฤติกรรมดื้อรั้นในชั้นเรียน มักจะถูกมองอย่างผิวเผินว่าเป็นเพียง "ความซุกซน" มากกว่าการมองถึงปัญหาทางสุขภาพจิต หรือเด็กๆ ที่มักจะบอกว่าปวดท้องหรือปวดหัวบ่อยๆ ซึ่งเป็นอาการที่มาจากความวิตกกังวลนั้น ก็มักจะถูกมองว่าเป็นแค่การเจ็บป่วยธรรมดาทั่วไป
1eb4d1c2-9572-478e-9d2a-3d4cc6043b26
เมื่อปัญหาสุขภาพจิตเป็นที่รับรู้ ครอบครัวก็มักจะประวิงเวลาในการพาพวกเขาไปรับความช่วยเหลือ เพียงเพราะคิดว่า เมื่อโตขึ้น "ปัญหาทางสุขภาพจิต" ก็จะเยียวยาไปเอง

แม้ปัญหาสุขภาพจิตบางอย่างจะถูกเยียวยาเมื่อเติบโต แต่การรักษานั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่างกรณีของภาวะสมาธิสั้น (ADHD) ถึงแม้ว่าภาวะนี้จะหมดไปเมื่อเด็กร้อยละ 80 เติบโตเป็นวัยรุ่น พวกเขาเหล่านั้นยังคงเผชิญความลำบากในการมีเพื่อน ถ้าพวกเขาพลาดการเสริมทักษะการเข้าสังคมตั้งแต่ยังเด็กแล้ว มันอาจเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีกในการสร้างมิตรกับเพื่อนใหม่ ทั้งในช่วงวัยรุ่น และเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อื่นเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น

ในการวิจัยของเรานั้นพบว่า ปัจจัยคงที่ซึ่งสอดคล้องกับการเข้ารับการรักษา คือความรุนแรงของอาการ และการรับรู้จากพ่อแม่ว่า เด็กๆ ต้องได้รับความช่วยเหลือ และเนื่องจากความรุนแรงของอาการจะใช้เวลาในการค่อยๆ เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่า เด็กๆ และพ่อแม่จะเริ่มมองหาบริการช่วยเหลือมากขึ้น ในวันที่อาการรุนแรง และส่งผลต่อการใช้ชีวิตของพวกเขาอย่างชัดเจน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในเด็กโต

เด็กผู้ชาย vs เด็กผู้หญิง

เราพบว่า เด็กผู้หญิงนั้น มักได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตน้อยกว่าเด็กผู้ชาย ซึ่งเด็กผู้หญิงคิดเป็นร้อยละ 50 ของเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิตในขอบเขตการวิจัยของเรา อีกทั้งยังคิดเป็นเพียงร้อยละ 30 ที่ได้รับการสนับสนุนเมื่อเกิดปัญหาทางอารมณ์ ในช่วงอายุ 8-11 ปี

นี่อาจเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า ปัญหาสุขภาพจิตของเด็กผู้หญิงนั้นสามารถรับรู้ได้ยากกว่าเด็กผู้ชาย

ในขณะที่เด็กผู้ชายนั้นสามารถแสดงออกให้เห็นถึงปัญหาได้ชัดเจนกว่า โดยการแสดงความก้าวร้าวเมื่อต้องทำอะไรที่ขัดใจ ส่วนเด็กผู้หญิง ในสถานการณ์เดียวกัน กลับเลือกที่จะเก็บปัญหาเข้ามาภายใน จากนั้นก็แสดงออกด้วยการถอนตัว หรือปรากฎตัวอย่างเงียบๆ ทำให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ยาก โดยในสภาพแวดล้อมปกตินั้น ปัญหาของเด็กผู้ชายจะได้รับความสนใจมากกว่า เนื่องด้วยธรรมชาติของพฤติกรรมในลักษณะขัดขวางของพวกเขา

ภูมิหลังทางภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง

ประมาณร้อยละ 14 ของเด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ มาจากภูมิหลังที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ แต่มีเพียงแค่ร้อยละ 2 เท่านั้นที่เข้ารับความช่วยเหลือ

ความบ่ายเบี่ยงของพ่อแม่เด็กจากภูมิหลังที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการรับความช่วยเหลือ อาจเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในการรับรู้และเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตที่แตกต่างไป พวกเขายังอาจจะพบปัญหาในการหาบริการช่วยเหลือในภาษาของตนเอง

ภาวะทางจิตต่างๆ อาจยากในการรับรู้ในบรรดาเด็กๆ จากภูมิหลังที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เพราะความเงียบของพวกเขาอาจถูกมองว่าเป็นกำแพงทางภาษา มากกว่าปัญหาสุขภาพจิต

เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง

กว่า 20 ปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ในความแพร่หลายของการรับรู้ถึงปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นของออสเตรเลีย แม้ว่าจะมีการใช้งบประมาณในการสนับสนุนเป็นจำนวนมาก นี่อาจเป็นผลมาจากคุณภาพและน้ำหนักในการให้บริการที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุง

พวกเขาอาจไม่ได้รับการรักษาที่บ่อยครั้ง หรือเพียงพอที่อาการจะมีความเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น มีคำแนะนำว่า เด็กควรได้รับการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมเป็นจำนวน 8 ครั้ง ในการรักษาภาวะวิตกกังวล แต่เด็กหลายๆ คนอาจต้องรับการรักษามากกว่านั้น

ระบบสุขภาพของออสเตรเลียกำหนดจำนวนครั้งในการเข้ารับการรักษาผู้ป่วย แทนที่จะให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้น โดยโครงการ Medicare Better Access ได้กำหนดให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการจากจิตแพทย์โดยได้รับการชดเชยจากเมดิแคร์ได้จำนวน 10 ครั้ง ในรอบ 1 ปี แต่ถึงกระนั้น เด็กๆ ก็ต้องการความช่วยเหลือที่มากกว่านั้น

เราต้องมีการยกระดับในเชิงระบบของงบของประมาณสนับสนุน บนพื้นฐานของตัวชี้วัดอาการของผู้ป่วย มากกว่าการกำหนดจำนวนครั้งในการนัดหมายเพื่อรับการรักษา ทั้งในส่วนของโรงพยาบาล และในชุมชน

งานวิจัยของเราแนะนำว่า เราต้องเข้าใจพ่อแม่และเด็กๆ ว่า เพราะเหตุใดพวกเขาจึงพลาดการรักษาไป โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง เด็กเล็ก และเด็กที่มาจากภูมิหลังที่หลากหลาย เมื่อทำเช่นนี้ได้ และทำให้แน่ใจถึงการได้รับการรักษาที่มีคุณภาพสูง ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์กับตัวเด็กและครอบครัว แต่ยังเป็นประโยชน์กับพวกเขาเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

แฮริเอต ฮิสค็อก (Harriet Hiscock) ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสภาสุขภาพแห่งชาติและการวิจัยทางการแพทย์ (National Health and Medical Research Council)

เมลิซซา มัลรานีย์ (Melissa Mulraney) ไม่ได้ทำงาน เป็นที่ปรึกษา ถือหุ้นส่วน หรือรับเงินทุนจากบริษัทหรือองค์กรใดๆ ที่ได้รับผลประโยชน์จากบทความฉบับนี้ และได้เปิดเผยว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องอื่นใดนอกเหนือจากจุดประสงค์ทางวิชาการ

Share
Published 13 June 2019 2:13pm
Updated 12 August 2022 3:27pm
By Harriet Hiscock, Melissa Mulraney
Presented by Tinrawat Banyat
Source: The Conversation

Share this with family and friends