คิม จอง-อึน ผูกมัด ‘ปลดอาวุธนิวเคลียร์ โดยสิ้นเชิง’ หลังประชุมผู้นำ

NEWS: ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และผู้นำเกาหลีเหนือนายคิม จอง-อึน ลงนามในเอกสาร “ครั้งประวัติการณ์” ซึ่งผูกมัดต่อการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี

Image by AAP via SBS News

Source: AAP via SBS News

ท่านสามารถฟังสรุปข่าวนี้ (เสียงไทย) ได้โดยกดปุ่ม Audio ด้านบนทางขวา

ประเด็นหลัก:

  • คิม จอง-อึน ผูกมัดต่อการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ในเอกสารร่วมกับนายโดนัลด์ ทรัมป์
  • นายทรัมป์เรียกนายคิมว่าเป็น “บุคคลที่มีความสามารถพิเศษเป็นอย่างมาก” และยังอาจเชิญเขามาที่ทำเนียบขาว
  • ทีมของนายคิมมีปัญหากับปากกาซึ่งจัดไว้ให้ในพิธีลงลายมือชื่อ
ผู้นำเกาหลีเหนือ นายคิม จอง-อึน ได้ผูกมัดต่อการ “ปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยสิ้นเชิง” ในเอกสารที่ได้จัดทำร่วมกัน

นายคิมและประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในเอกสาร “ครั้งประวัติการณ์” หลังจากการพบปะกันที่สิงคโปร์วานนี้ (อังคาร 12 มิ.ย.)

“มันครอบคลุมอย่างกว้างมาก” นายทรัมป์กล่าวถึงเอกสารดังกล่าว และเสริมว่า การปลดอาวุธนิวเคลียร์นั้นจะเริ่มต้นขึ้น “อย่างรวดเร็วมาก”

เอกสารแถลงการณ์นั้นได้กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ผูกมัดต่อการรับประกันด้านความมั่นคงให้กับเกาหลีเหนือ และประธานฯ คิม จอง-อึน ก็ย้ำถึงการผูกมัดที่มั่นคงและแน่วแน่ต่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีโดยสมบูรณ์”

เอกสารดังกล่าวมีเนื้อหาว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานฯ คิม จอง-อึน ได้แถลงดังต่อไปนี้:”

1. สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ผูกมัดที่จะให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐ-เกาหลีเหนือ ขึ้นใหม่ โดยยึดตามความประสงค์ของผู้คนของทั้งสองประเทศที่ต้องการสันติภาพและความรุ่งเรือง

2. สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือจะร่วมมือกันในความพยายามที่จะก่อตั้งระบอบแห่งสันติภาพที่ยั่งยืนและมีเสถียรภาพในคาบสมุทรเกาหลี

3. เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งต่อปฏิญญาพันมุนจ็อม เกาหลีเหนือนั้นจะผูกมัดต่อการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ในคาบสมุทรเกาหลี

4. สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือจะผูกมัดต่อการกู้ศพของเชลยศึกและผู้สูญหายในระหว่างการสู้รบ รวมถึงการส่งร่างกลับมาตุภูมิโดยทันทีในรายที่ระบุตัวตนได้แล้ว

ถ้อยแถลงดังกล่าวนั้นไม่ได้ระบุถึงความต้องการของสหรัฐฯ ต่อ “การปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่สมบูรณ์ พิสูจน์ได้ และเป็นการถาวร” – ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะของการทำลายอาวุธทิ้งและผูกมัดที่จะให้มีการตรวจสอบ – แต่ทว่าได้กล่าวถึงการผูกมัดที่หละหลวมกว่าซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ในการพูดถึงนายคิมนั้น นายทรัมป์กล่าวว่า “เราได้พัฒนาความผูกพันอันพิเศษขึ้นมา” และเขาก็ยินดีอย่าง “แน่นอนที่สุด” ที่จะเชื้อเชิญนายคิมมายังทำเนียบขาว

“เราจะพบปะกันอีก... เราจะพบปะกันอีกหลายครั้ง”
เขายังกล่าวว่า นายคิมนั้นเป็น “บุคคลที่มีความสามารถพิเศษอย่างมาก และเขาก็รักประเทศของเขาอย่างมาก”

นายคิมกล่าวผ่านล่ามแปลภาษาว่า “วันนี้ เราได้มีการพบปะกันครั้งประวัติการณ์ และได้ตัดสินใจที่จะทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง… โลกของเราจะประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ”

การลงนามซึ่งได้มีการตระเตรียมมาเป็นอย่างดีนั้นมีความผิดพลาดเล็กน้อย เมื่อดูแล้วราวกับว่า ทีมของนายคิมนั้นไม่ต้องการที่จะให้เขาใช้ปากกาซึ่งได้มีการเตรียมไว้ สมาชิกทีมของนายคิมคนหนึ่งได้เข้ามาอย่างรวดเร็วในนาทีสุดท้ายเพื่อเปลี่ยนปากกาจากของสถานที่ไปเป็นปากกาของพวกเขาเอง
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ได้กล่าวถึงการประชุมผู้นำกับนายคิม จอง-อึน ที่สิงคโปร์ว่าเป็นการนั่งคุยกันที่ “เยี่ยมมาก”

“เราได้มีการพบปะกันที่เยี่ยมมาก” นายทรัมป์กล่าวขณะที่เขาเดินเคียงข้างกับผู้นำเกาหลีเหนือออกจากโรงแรมคาเพลลา หลังจากการทำงานร่วมกันระหว่างเวลาอาหารกลางวัน เมื่อวานนี้

“มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นบวกอย่างมากจริงๆ ผมคิดว่าดีกว่าที่ใครๆ ก็ตามได้คาดหมายไว้ ยอดเยี่ยมที่สุด ดีมากๆ” นายทรัมป์เสริม ก่อนที่จะโชว์ให้นายคิมเห็นภายในรถลิมูซีนหุ้มเกราะของเขาทีเรียกกันว่า “เดอะ บีสท์ (The Beast)”
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และผู้นำเกาหลีเหนือ นายคิม จอง-อึน เดินออกจากช่วงอาหารกลางวันร่วมกันที่โรงแรมคาเพลลารีสอร์ต บนเกาะเซ็นโตซา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และผู้นำเกาหลีเหนือ นายคิม จอง-อึน เดินออกจากช่วงอาหารกลางวันร่วมกันที่โรงแรมคาเพลลารีสอร์ต บนเกาะเซ็นโตซา 12 มิ.ย. (AAP) Source: AAP

การจับมือกันครั้งประวัติการณ์

นายทรัมป์ และนายคิม ได้พูดจาอย่างอบอุ่นและจับมือกันเป็นครั้งประวัติการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในระหว่างการประชุมผู้นำร่วมกันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อเผชิญหน้ากับความร้าวฉานด้านอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งมีมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และความเป็นปรปักษ์ต่อกันตั้งแต่สมัยสงครามเย็น

ทั้งสองจับมือกันท่ามกลางกำแพงสีขาวของโรงแรมหรูในประเทศสิงคโปร์ซึ่งวางตัวเป็นกลาง ก่อนจะนั่งพบปะพูดคุยกันในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับภูมิภาคดังกล่าวของโลก

ครั้งนี้เป็นการพบปะกันเป็นครั้งแรกระหว่างผู้นำซึ่งอยู่ในวาระการดำรงตำแหน่ง ของคู่ปรับด้านอาวุธนิวเคลียร์ทั้งสองฝ่าย และเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้เลยเมื่อเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ในระหว่างที่มีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นต่อสงคราม ท่ามกลางการทดสอบขีปนาวุธและการถากถางกันด้วยวาจา



ทั้งคู่จับมือกันเป็นเวลาหลายวินาที นายทรัมป์ยังเอื้อมมือแตะไหล่ขวาของผู้นำเกาหลีเหนือ

เมื่อพวกเขานั่งลงเพื่อเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว ผู้นำสหรัฐฯ – ผู้ซึ่งเคยกล่าวว่าเขาจะทราบ “ภายในนาทีแรก” ว่าจะมีการตกลงกันได้หรือไม่ – ก็ทำนายได้ว่าเขาจะมี “ความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม” กับนายคิม

ทางด้านผู้นำเกาหลีเหนือนั้นได้กล่าวอ้างถึงประวัติศาสตร์ของสงครามและความรุนแรงระหว่างทั้งสองประเทศ แต่ก็ระบุถึงข้อเท็จจริงที่ว่า การพบปะกันของทั้งสองนั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านอดีตไปได้

เขานั่งตรงข้ามนายทรัมป์โดยขนาบกับโต๊ะขนาดเล็ก นายคิมกล่าวกับผู้นำสหรัฐฯ ผ่านล่ามแปลภาษาว่า: “มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะมาถึงที่นี่ได้”

“อดีตนั้นจะเป็นพันธนาการต่อแขนขาของเรา และอคติและสิ่งที่เคยปฏิบัติกันในครั้งก่อนเก่านั้นจะเป็นสิ่งที่กีดขวางหนทางของเราสู่ภายภาคหน้า” เขากล่าวต่อ โดยที่นายทรัมป์ซึ่งรับฟังอยู่นั้นมองตาเขาและพยักหน้า “แต่เราก็ได้ก้าวข้ามผ่านพวกมันมาได้ทั้งหมด และเราก็ได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้”

Share
Published 13 June 2018 11:51am
Updated 15 June 2018 11:46am
By Nick Baker
Presented by Tanu Attajarusit
Source: AAP, SBS News


Share this with family and friends