เรียนรู้ที่จะโต้เถียงอีกครั้ง หลังถูกข่มเหงในความสัมพันธ์

สำหรับผู้ซึ่งเคยถูกข่มเหงทางอารมณ์ในความสัมพันธ์แบบโรแมนติก การโต้เถียงอาจรู้สึกได้ว่าเต็มไปด้วยภยันตราย ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับว่าจะชมภาพยนตร์เรื่องใด จะสั่งอาหารอะไร หรือใครควรเป็นคนเอาขยะออกไปทิ้งรอบนี้

Thoughtful woman looking through window at office

"...ความคับข้องใจ ความโกรธ หรือความเกลียดชังในตัวฉัน จะมีเหตุมีผลรองรับทั้งนั้น มันเป็นความผิดของฉัน..." Source: Getty Images

You can read the full version of this story in English on SBS Life .

การอยู่ในความสัมพันธ์ หมายถึงการไปออกเดทที่ประหยัดตังค์ลง(ไม่ต้องสุดประทับใจอีกต่อไป) การง่วงหลับลงบนโซฟาขณะดูโทรทัศน์ และบ่อยครั้งตื่นเช้ามาพบกับกาแฟร้อนๆ และขนมปังปิ้งที่เตรียมรอไว้ให้

แต่ทว่าก็ยังหมายถึงการต่อล้อต่อเถียงด้วยเช่นกัน ซึ่งบางครั้งก็เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง คนเรานั้นเมื่อเหน็ดหนื่อย ก็โมโหง่ายและกลายเป็นคนขี้รำคาญไปได้ เช่น การมองบน ขึ้นเสียง นั่งกอดอกหน้าบูดแม้จะอยู่ในร้านอาหารที่คนจอแจ ก่อนที่จะกล่าวขอโทษแล้วก็ส่งยิ้มจืดๆ ให้กับอีกคนแล้วก็รับประทานอาหารต่อไป แต่สำหรับผู้ซึ่งเคยประสบกับการข่มเหงทางอารมณ์ในความสัมพันธ์นั้น การโต้เถียงอาจรู้สึกได้ว่าเต็มไปด้วยภยันตราย ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับว่าจะชมภาพยนตร์เรื่องใด จะสั่งอาหารอะไร หรือใครควรเป็นคนเอาขยะออกไปทิ้งรอบนี้

ฉันเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่เพียงสามเดือนหลังจากที่เดินออกจากความสัมพันธ์ซึ่งมีการข่มเหงรังแกทางอารมณ์ โดยฉันนั้นก็ช่างกล้า และก็อาจจะเรียกว่าขาดความรับผิดชอบก็ได้ แต่ฉันก็รู้สึกตกหลุมรักเสียแล้ว พอล แฟนหนุ่มคนใหม่ของฉันนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนก่อนหน้า เขาเป็นคนอ่อนไหวและมีความเข้าอกเข้าใจ และทุกๆ ครั้งที่ฉันนั้นพร่ำบ่นเกี่ยวกับความรัก ความเจ็บปวด และเรื่องราวในอดีต เขาก็รับฟังอย่างตั้งใจ ยิ่งกว่านั้นเขายังชอบที่จะปลอบใจฉัน

แต่ก็เช่นเดียวกันกับความสัมพันธ์ในระยะยาวทุกๆ กรณี ความตื่นเต้นและเขินอายในที่สุดแล้วก็จืดจางลง เมื่อถึงเวลาที่พอลและฉันนั้นจัดว่าอยู่ตัวในความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้ โดยมีสุนัขจากศูนย์ช่วยเหลือและแมวมาร่วมด้วยอีกตัว มีอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ และมีตราประทับบนหนังสือเดินทางจากที่เดียวกัน เราก็มักจะถกเถียงกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะกลับมามองเห็นความจุกจิกของเราเองในเวลาต่อมา

“ในความสัมพันธ์ครั้งก่อนของฉันซึ่งมีการข่มเหงรังแก การโต้เถียงอย่างเปิดใจนั้นจะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายได้”

สำหรับฉัน ที่ผ่านมานั้นการโต้เถียงเคยเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องใหญ่และก็น่าสะพรึงกลัว ในความสัมพันธ์ครั้งก่อนของฉันซึ่งมีการข่มเหงรังแก การโต้เถียงอย่างเปิดใจนั้นจะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายได้ โดยมันจะเปลี่ยนเป็นการถูกด่าทอด้วยวาจาอย่างต่อเนื่อง ถูกเขากดตัวลงจนติดพื้น ถูกตะโกนใส่หน้า และตกอยู่ในบ่วงความกลัวที่ตึงเครียดและต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

เย็นวันหนึ่ง ฉันขดตัวอยู่ในรถของฉัน ข้างๆ พอลซึ่งนั่งที่นั่งคนขับ เราทั้งสองคนเหนื่อยล้า หงุดหงิดง่าย และกำลังพิจารณาถึงทางเลือกรับประทานอาหารเย็นของเราซึ่งแตกต่างกัน “คุณกลัวผมไหม?” เขาถาม “ไม่” ฉันตอบ และฉันก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ แต่ความทรงจำทางกายของเรา  (muscle memory) นั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก และก็ดูราวกับว่าประสบการณ์ในอดีตนั้นจะบีบบังคับให้ฉันท่องจำคำพูดที่ตกสมัยไปแล้ว: ว่าหากคุณทำให้ผู้ชายของคุณคับข้องใจหรือหงุดหงิดใจ คุณก็จะถูกลงโทษ

หากอ้างอิงจากคุณโจเซฟ เกร็นนี ผู้ร่วมประพันธ์หนังสือขายดีที่ถูกจัดอันดับโดยนิวยอร์กไทมส์ชื่อ  การโต้เถียงนั้น จริงๆ แล้วเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์แบบโรแมนติก เพราะมันอนุญาตให้ความคิดเห็นซึ่งแตกต่างกันนั้นถูกรับฟังและได้รับการตระหนักถึง เพื่อให้เกิดการเจรจาซึ่งทุกฝ่ายยินดี  แม้ว่าอาจไม่ใช่ด้านของชีวิตส่วนตัวที่คู่รักหวานชื่นทั้งหลายจะเต็มใจอยากพูดถึง (ยกเว้นจะบ่นถึงเป็นครั้งคราว) แต่มันก็แสดงว่าคู่รักคู่นั้น อย่างน้อยก็มีทักษะในการสื่อสารที่ดีและมีการพูดคุยกัน อย่างที่คุณเกร็นนีเรียกว่า “มีความรับผิดชอบทางอารมณ์ต่อความรู้สึกของตนเอง”

การอยู่กับพอล หมายถึงการที่ฉันได้ค้นพบว่า ในอดีต การที่ฉันประสบกับการข่มเหงรังแกนั้น ไม่ใช่ผลพลอยได้จากการถกเถียงกันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคู่รัก แต่จริงๆ แล้วนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากเลย สิ่งที่ฉันผ่านพบมานั้นเป็นความพยายามอย่างมากและโดยตั้งใจโดยใครสักคนที่จะทำให้ฉันรู้สึกแทบไม่มีตัวตน รู้สึกไร้ค่า และไม่ดีพอ แทนที่จะถกเถียงกันว่าควรจะชมภาพยนตร์เรื่องอะไร การโต้แย้งของเรานั้นจะกินวงกว้างกว่านั้นและก็กระทบกระทั่งต่ออีกคน เมื่อเขาบอกว่า “ผมไม่รู้สึกหลงใหลในตัวคุณ” หรือ “ผมไม่คิดว่าคุณนั้นเก่งในสิ่งที่คุณทำ” เขาจงใจทำโดยรู้ดีว่า เขาไม่ได้ให้ฉันตอบอย่างสร้างสรรค์ หรือว่าอยากจะมีการสนทนากันอย่างแฟร์ๆ แต่อย่างใด คำพูดของเขานั้นเป็นการโจมตีกันอย่างใจดำ

“กับพอล ทั้งสองคนยอมรับต่อธรรมชาติของนุษย์ของเรา เราไม่โทษอีกฝ่ายหนึ่งไปเสียทุกๆ ครั้งหากมีอารมณ์ไม่ดี”

เพียงไม่กี่เดือนที่แล้ว พอลดูราวกับจะมีอารมณ์ขุ่นมัวเป็นพิเศษ เขานอนหลับไม่เพียงพอ เมาค้างบ้างหลังจากออกไปเย้วๆ ในตอนกลางคืนกับเพื่อนร่วมงานจำนวนหนึ่ง และพอถึงเวลาที่ต้องจูงหมาของเราไปเดิน เขาก็เริ่มพูดว่า “คุณรู้ไหม” “ในเวลาแบบนี้ คุณไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนมันเอาไว้ ให้บอกผมออกมาเลยว่าผมนั้นกำลังอารมณ์เสีย มันโอเค”

ซึ่งในตอนนั้นเองฉันจึงกระจ่างใจว่าการข่มเหงนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร หากดูจากอดีตแฟนของฉัน ทุกๆ อารมณ์ที่เขารู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความคับข้องใจ ความโกรธ หรือความเกลียดชังในตัวฉัน จะมีเหตุมีผลรองรับทั้งนั้น มันเป็นความผิดของฉัน ฉันจำเป็นจะต้องถูกดึงให้อยู่กับร่องกับรอย ถูกด่าทอ และทำให้อับอาย ในขณะที่กับพอลนั้น ทั้งสองคนยอมรับต่อธรรมชาติของมนุษย์ของเรา เราไม่โทษอีกฝ่ายหนึ่งไปเสียทุกๆ ครั้งหากมีอารมณ์ไม่ดี ในทางตรงข้าม เรากล่าวโทษถึงช่วงเวลากลางคืนที่ได้นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การโต้แย้งที่หยุมหยิมกับสมาชิกในครอบครัว หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นกระดาษชำระหมด

เมื่อมีอารมณ์ไม่ดีหรือเกิดการเมาแล้วหลับ ฉันก็รู้ว่าอย่างไรก็จะต้องมีการโต้เถียงกันเกิดขึ้นอีก แต่กับพอลนั้น ฉันสามารถที่รับมือกับมันได้ตั้งแต่แรก ก่อนที่จะมาหัวเราะกันถึงเรื่องพวกนี้ในภายหลัง ตราบใดก็ตามที่เรายังตกลงกันไม่ได้ในทุกครั้งว่าเราจะทำกับข้าวกินเอง จะสั่งมากินกัน หรือจะออกไปกินข้าวข้างนอก ก็จะยังคงมีการต่อล้อต่อเถียงกันเป็นครั้งคราว แต่ฉันรู้ดีแก่ใจว่าฉันนั้นปลอดภัยและก็เป็นที่รัก

*ไม่ใช่ชื่อจริงของผู้เขียน

หากเรื่องราวนี้สะกิดใจคุณ ติดต่อสายด่วนช่วยชีวิต ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 13 11 14 หรือบริการช่วยเหลือภาวะซึมเศร้า ากคุณจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในตอนนี้ ติดต่อไปที่ 

ติดตามฟังรายการ เอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์  ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี เวลา 22.00 น.

ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่ 


 


Share
Published 13 February 2019 1:53pm
Updated 10 May 2021 12:47pm
By Rose Thomas
Presented by Tanu Attajarusit
Source: SBS Life


Share this with family and friends