คุยกับแชมป์โลกกาแฟ Aeropress คนไทย จิ๊บบิ กว่าจะมาเป็นเบอร์หนึ่งในวงการ

จิ๊บบิคนไทยคนแรกเจ้าของแชมป์โลก Aeropress ตัวแทนจากประเทศออสเตรเลีย Credit: supplied and photograph by Jibbi

Get the SBS Audio app

Other ways to listen

พูดคุยกับแชมป์โลก Aeropress คนไทย จิ๊บบิ กับเส้นทางกว่าจะมาเป็น No.1 ในวงการกาแฟ และเป็นตัวแทนของประเทศออสเตรเลีย ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ฝึกฝนยังไง

กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน

จากอดีตคนในวงการโฆษณา ที่วันนั้นตั้งใจมาออสเตรเลียเพื่อเรียนต่อป.โท สู่การก้าวเป็นแชมป์โลก กาแฟ Aeropress เส้นทางที่ไม่ได้มาด้วยความฟลุ๊ค มาทำความรู้จัก จิ๊บบิ แชมป์โลก Aeropress ปี 2022 กว่าจะมาเป็นเบอร์หนึ่งในวงการกาแฟ ทั้งยังเป็นตัวแทนของประเทศออสเตรเลียในหลายรายการ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ฝึกฝนอย่างไร

เริ่มเป็นบาริสต้าเพราะไม่อยากเดินเยอะ

เธอเล่าว่าย้ายมาออสเตรเลีย ปลายปี 2007 ช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดบริการ การหางานจึงเป็นเรื่องยาก

เริ่มงานแรกด้วยการเด็กเสิร์ฟ และเด็กทำน้ำปั่นที่ร้าน Boost ระหว่างนั้นก็ลงเรียนอนุปริญญา โดยตั้งแต่ว่าจะใช้ช่วงนี้เก็บเงินเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาโท

“ตอนนั้นเป็นเด็กทำน้ำปั่นที่Boost Juice ซึ่งร้านอยู่ตรงดาร์ลิ่ง เราก็เห็น ICC ( ICC Sydney: International Convention & Exhibition Centre ) เราเลยลองไปสมัครงาน ปรากฏว่าได้งาน ที่นี้เราก็เดินเยอะ เหนื่อย เพราะทำงานทั้งเช้าและเย็น เราก็รู้สึกว่ามีงานไหนไหมที่ทำได้หลายชั่วโมง เพราะเราอยากได้เงินเยอะๆ แล้วช่วงนั้นดันมีงานเกี่ยวกับกาแฟ เราก็เห็นว่า เอ๊ะ ทำไมบาริสต้าที่บูทไม่ต้องเดินเลย นั่นเป็นจุดประกายจุดแรก คิดเลยว่า นี่ต้องเป็นงานของฉัน” จิ๊บบิเล่าย้อนความหลังและนั่นก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วงการกาแฟ

ถ้าเราเอาตัวเราไปอยู่ในที่ที่มีคนเก่งหมด แล้วเราเป็นคนที่โง่ที่สุดในนั้นก็ไม่เป็นไร สักวันคุณจะเก่งของคุณขึ้นมาเอง
จิ๊บบิกล่าวเธอแรงบันดาลใจที่พาเธอพัฒนาต่อไป

เริ่มฝึกสตรีมนมจากการฟังเสียง

หลังจากตั้งมั่นว่าจะต้องเป็นบาริสต้าให้ได้ จิ๊บบิเริ่มสมัคร แต่ด้วยประสบการณ์เป็นศูนย์ อาชีพนี้ก็ดูจะไม่ง่าย บวกทั้งในยุคที่ยูทิวบ์ยังไม่แพร่หลาย การจะหาวีดีโอที่มาสอนการทำกาแฟ สอนการสตรีมนมนั้นยิ่งเป็นเรื่องยาก เธอลงทุนซื้อเครื่องทำกาแฟเล็กๆ เพื่อมาฝึกฝน แต่ก็ยังไม่ดีพอสำหรับร้าน

จนกระทั่งวันหนึ่งบาริสต้าในร้านที่เธอไปทดลองงาน โชว์ให้เธอดูว่า การสตรีมนมที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ตรงนั้นเองที่พาเธอได้งานบาริสต้าครั้งแรก

“ความโชคคือบาริสต้าคนนั้นบอกว่า ยูต้องตีนมให้ดีกว่านี้นะ เขาก็โชว์ให้ดูก่อนจะไล่เรากลับบ้าน ด้วยความที่เราเป็นคนตัวเตี้ยมาก ก็มองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงว่า เห้ย เสียงต้องเป็นแบบนี้ เราก็จำเสียงนั้นได้ จนวันนี้”

“เราได้งานบาริสต้าที่แรกที่ Coffee Club แถว Park Street แต่ไม่ใช่บาริสต้าหลัก ช่วงชิฟของเราบ่าย 3 โมง จะมีคนขับแท็กซี่มาทานกาแฟค่อนข้างเยอะ เขาก้จะถามถึงผู้หญิงคนหนึ่งค่อนข้างเยอะว่า คนนั้นไปไหน เราตอบไปว่า เขาไม่อยู่แล้ว ฉันมาทำ คนขับแท็กซี่ตอบว่า ฉันอยากให้เขามาทำ ฉันกลัวเธอทำไม่อร่อย” จิ๊บบิ เล่าประสบการณ์เผชิญหน้ากับลูกค้าครั้งแรกที่เป็นส่วนผลักดันให้เธอต้องทำกาแฟให้ดีกว่าผู้หญิงคนนั้นที่คนขับแท็กซี่กล่าวถึง ซึ่งเธอยังเล่าอีกว่ามารู้ทีหลังว่าบาริสต้าก่อนเธอก็เป็นคนไทย แต่จนวันนี้ก็ไม่เคยเห็นหน้า

ลงแข่งครั้งแรกจากการชวนของลูกค้าในร้าน

“ตอนนั้นเราทำงาน 2 ที่ อีกที่เป็นโรงแรมชื่อ QT ลูกค้าบอกว่า ลาเต้อาร์ตเธอสวยมาก ทำไมไม่ลงแข่ง”

จากคำชมวันนั้น จิ๊บบิเริ่มเข้าสู่การแข่งขันกาแฟ แม้ว่าในครั้งแรกเธอจะพลาดเพราะประสบการณ์ยังน้อย แต่นั่นก็เป้นประตูที่ทำให้เธอได้งานอีกที และเริ่มเข้าสู่การซ้อมอย่างจริงจัง เริ่มลงแข่งในรายการเล็ก คว้าแชมป์มากมาย เป็นเวลาร่วมกว่า 10 ปีที่เธอผันตัวจากบาริสต้าในร้าน มาเป็นสายแข่งขันเต็มตัว จนได้เป็นตัวแทนของประเทศออสเตรเลีย และคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ

มันไม่มีใครอยากให้เราชนะหรอก นอกจากตัวเราเอง
จิ๊บบิเล่าถึงตอนร่วมแข่งขันระดับโลก

“ความรู้สึกตอนนั้นที่ได้แชมป์โลก เหมือนกับว่า เรารอเวลานั้นมาสิบปี ได้สักที แต่ไม่ได้ในลาเต้อาร์ต มันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะอยากได้ในลาเต้อาร์ตมาตลอด เราทำได้แค่อันดับ 11 ของโลก แต่พอได้ในสายนี้ ก็รู้สึกว่า อย่างน้อยเราก็ทำได้ แล้วจริงๆ แบบสายที่ยากกว่าเพราะเป็นกาแฟดำ”

“วันนั้นเป็นความสุขที่สุด เพราะเรารอมานานมาก เราเข้าใจเลยว่าคนที่ได้แชมป์โลกเขารู้สึกอย่างไร เรานอนหลับฝันดี โดยไม่ต้องกินยานอนหลับเลย”

ฟังเรื่องราวเต็มๆ ว่าก่อนจะมาเป็นแชมป์โลกนั้น จิ้๊บบิต้องพบอะไรมาบ้าง วงการกาแฟออสเตรเลียเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเป็นอย่างไร

ฟังสัมภาษณ์ฉบับเต็ม