ขั้นตอนต่างๆ หลังจากที่คุณแจ้งความว่ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอมหรือถูกข่มขืน

SG Reporting Rape

การตัดสินใจแจ้งความหลังถูกล่วงละเมิดทางเพศมักทำให้เหยื่อได้รับผลกระทบทางจิตใจอีกครั้ง Credit: Milan Markovic/Getty Images

ความรุนแรงทางเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมายในออสเตรเลีย หากคุณถูกบังคับ ข่มขู่ คุกคาม หรือถูกหลอกให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่เต็มใจ คุณสามารถแจ้งความกับตำรวจได้ คู่มือการตั้งถิ่นฐานฉบับนี้มีขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น


กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน

คำเตือน: เนื้อหาในบทความนี้จะพูดถึงประเด็นความรุนแรงทางเพศที่อาจกระเทือนจิตใจ

มีรายงานการล่วงละเมิดทางเพศเฉลี่ย 85 ครั้งต่อวันที่ออสเตรเลีย ผลการศึกษาระบุว่ามีวัยรุ่น มากกว่า 1 ใน 3 คนที่มีเพศสัมพันธ์โดยมิพึงประสงค์

หากคุณเป็นเหยื่อที่รอดจากการข่มขืนหรือการร่วมเพศโดยมิได้ยินยอม คุณอาจกำลังใคร่ครวญที่จะรายงานเรื่องนี้กับทางการและต้องเผชิญกับผู้กระทำอีกครั้ง บ่อยครั้งการตัดสินใจนี้มักมีผลทางสภาพจิตใจ

“รายงานบางส่วนแจ้งมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บางส่วนมาแจ้งที่สำนักงานตำรวจ เราพบคนที่เผชิญสิ่งเลวร้ายมา และมีความเปราะบางทางจิตใจอย่างมาก”
จ่าตำรวจโมนิค เคลลีย์ (Monique Kelley) หัวหน้าทีมสืบสวนพิเศษที่ทำคดีล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งมักช่วยเหลือเหยื่อผู้ร้องเรียนที่มาให้ปากคำและนำหลักฐานมาแสดง

“เรามี 4 เป้าหมาย เป้าหมายแรกคือปกป้องเหยื่อและให้ความช่วยเหลือพวกเขา จากนั้นเราจำเป็นต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนเพื่อรายงาน เราต้องรวบรวมหลักฐานและตรวจว่ามีการก่ออาชญากรรมหรือไม่ จากนั้นเราจะระบุและจับผู้กระทำผิด และนำไปขึ้นศาล”

เหยื่อผู้เสียหายควรนำคนที่ให้ความช่วยเหลือได้ 1 คนมาที่สถานีตำรวจด้วย เพราะกระบวนการรวบรวมหลักฐานและการร่างคำให้การที่สถานีตำรวจมักกระทบกระเทือนจิตใจอีกครั้ง
พวกเขามักต้องใช้เวลา เพราะการมาที่สถานีตำรวจอาจเป็นสถานการณ์ที่เครียดที่สุดหลังจากเกิดเหตุ
"เรามักจะให้เวลากับผู้ร้องเรียน รับฟังพวกเขา และเราจะเปิดใจรับฟังในสิ่งที่พวกเขาพูดกับเรา”
SG Sexual Consent - Depressed mid adult woman receiving a embrace during a therapy
ผู้หญิงมีคนกอดในระหว่างให้การ Credit: FG Trade Latin/Getty Images
หากเหยื่อมาพบเจ้าหน้าที่ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือทางแพทย์ การให้คำปรึกษาทางกฎหมายและทางสภาพจิตใจ พวกเขาต้องตรวจร่างกายเพื่อรวบรวมหลักฐานซึ่งจะใช้ชุดตรวจสอบการข่มขืน (rape kit)

ส่วนมากเหยื่อจะเป็นเพศหญิง พวกเขาจึงมักขอพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ผู้หญิง แต่อาจไม่สามารถหาได้เสมอไป

จากนั้นผู้ร้องเรียนจะต้องให้รายละเอียดกับตำรวจซึ่งอาจไม่สามารถทำได้ในวันเดียว

คุณไมเคิล แบรดลีย์ (Michael Bradley) ทนายความที่มีประสบการณ์ว่าความคดีล่วงละเมิดทางเพศหลายปี เขาสนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อได้ดียิ่งขึ้น

“การทำรายงานเป็นเรื่องยากมาก การให้การยิ่งยากกว่า แต่ระบบต้องการให้เหยื่อลงรายละเอียดทุกอย่างลงในรายงานในครั้งเดียว มิฉะนั้นจะเสียรูปคดี หากมีสิ่งที่ต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขในภายหลัง สิ่งนี้เป็นภาระอันใหญ่หลวงของเหยื่อ”
คุณเจส ฮิลล์ (Jess Hill) นักข่าวแนวสืบสวนเกี่ยวกับว่าระบบกฎหมายปฏิบัติกับคดีการล่วงละเมิดทางเพศอย่างไร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์สารคดี ‘อาร์สกิง ฟอร์ อิท (Asking for it)’

เธอกล่าวว่าสิ่งสำคัญสำหรับเหยื่อผู้รอดชีวิตคือควรแน่ใจว่าคำให้การนั้นถูกต้อง เหตุการณ์ที่ถูกกระทำในอดีตยังคงสามารถรายงานย้อนหลังได้ แม้จะผ่านมานานแล้วก็ตาม

“ไม่มีจำกัดเวลา แน่นอนว่ายิ่งคุณแจ้งความเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะคุณจะมีหลักฐานที่ยังคงอยู่ คำให้การที่เป็นรายลักษณ์อักษรเป็นเอกสารสำคัญที่สุดที่จะนำไปใช้ในศาล คุณควรมั่นใจว่ามันถูกต้องจริงๆ ฉันเคยเห็นว่ามีคนที่ไม่แน่ใจเมื่อพวกเขาต้องอ่านคำให้การต่อหน้าศาล พวกเขาเห็นข้อผิดพลาด และพวกเขาไม่รู้สึกมั่นใจ"
คุณต้องแน่ใจว่าทุกข้อความในคำให้การนั้นถูกต้องและอย่ากลัวเมื่อคุณอยู่ที่สถานีตำรวจ
คุณฮิลล์อธิบาย
End Rape on Campus
ผู้หญิงถือป้ายประท้วง "หยุดการข่มขืนในมหาวิทยาลัย" Source: Supplied
เมื่อเหยื่อผู้รอดชีวิตแจ้งความแล้ว ตำรวจจะรับคดีไปสอบสวน ผู้ร้องเรียนจะกลายเป็นพยานสำคัญของคดีของตนเอง

จากนั้นผู้อำนวยการอัยการ (Director of Public Prosecutions) หรือดีพีพี (DPP) จะตรวจสอบสรุปสำนวนที่ตำรวจรวบรวมหลักฐาน หากผ่านเกณฑ์ตามกำหนดของดีพีพีแล้วจะมีการแจ้งข้อหา และตำรวจจะจับกุมผู้ต้องหา

“หากตำรวจไม่ส่งฟ้อง นั่นไม่ได้หมายความว่าการล่วงละเมิดทางเพศไม่เกิดขึ้น แต่หมายความว่าพวกเขาไม่คิดว่าคดีนี้ มีน้ำหนักพอที่จะไปต่อสู้ในศาลได้ พวกเขาจะยังคงจับกุมและตั้งข้อหาผู้กระทำความผิด แต่ผู้ต้องหาอาจสามารถถูกปล่อยตัวได้โดยไม่ต้องมีการประกันตัว พวกเขาอาจถูกควบคุมตัวจนกว่าจะมีการพิจารณาคดี แต่อาจไม่ได้รับโทษจำคุก”

กรณีที่คดีถูกส่งไปขึ้นศาล เหยื่อและพยานคนอื่นๆ ต้องให้ปากคำ ซึ่งจะถูกสอบปากคำโดยทนายฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์ และผู้ต้องหามีสิทธิ์ที่จะไม่พูด ให้การว่าไม่มีความผิดหรือสารภาพกับการกระทำความผิดเพียงเล็กน้อย

ทนายแบรดลีย์กล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ในระบบกฎหมายทำให้เหยื่อจำนวนมากรู้สึกเหมือนราวกับว่าเป็นผู้กระทำความผิด
หนึ่งในสิ่งประหลาดของคดีข่มขืนคือส่วนใหญ่หลักฐานเพียงอย่างเดียวคือคำให้การของเหยื่อ
"ภาระทั้งหมดอยู่ที่การฟ้องร้องซึ่งต้องพิสูจน์คดีทั้งหมดให้ไม่มีข้อสงสัย และพิสูจน์ว่าการมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นโดยไม่มีการยินยอม แต่ผู้ต้องหาอาจเชื่อว่ามีการยินยอม และนั่นเป็นสิ่งไม่สมเหตุสมผล”
Review of Queensland's legal system.
ผู้พิพากษาถือค้อนบนโต๊ะ Source: AAP
ส่วนใหญ่ผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดทางเพศมักไม่ปริปาก ทำให้ไม่ได้ให้ปากคำ การพิจารณาคดีจึงตกอยู่ที่คำให้การของเหยื่อซึ่งจะถูกซักถาม กลายเป็นการแข่งขันเพื่อพิสูจน์ว่าเหยื่อพูดจริงหรือไม่

“ดังนั้นคณะลูกขุนจะได้ฟังเรื่องจากเหยื่อเพียงฝ่ายเดียว และนั่นเป็นหลักฐานเดียวที่ต้องพิสูจน์คดี ฝ่ายจำเลยสามารถตั้งข้อสงสัยในความน่าเชื่อถือของคำให้การของเหยื่อ พวกเขาจะเรียกเหยื่อว่าคนโกหก”

ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของเหยื่อผู้รอดชีวิตไม่รายงานการข่มขืนกับตำรวจ ผลการวิจัยพบว่า 1 ใน 5 ของชาวออสเตรเลียเชื่อว่าผู้หญิงมักสร้างเรื่องหรือพูดเกินจริงเกี่ยวกับการล่วงละเมิดหรือข่มขืน นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดของชาติตะวันตก

อย่างไรก็ตามจ่าตำรวจเคลลีย์กล่าวว่าเธอไม่ค่อยพบเหยื่อที่เธอสงสัยว่าโกหก
ฉันบอกได้ว่าไม่มีใครอยากผ่านกระบวนการนี้ ไม่มีใครอยากถูกตรวจสอบตามที่ระบบกฎหมายตรวจสอบ การสร้างเรื่องขึ้นมาเป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อย
จ่าตำรวจเคลลีย์กล่าว
SG Sexual Consent - STOP
ผู้หญิงถือป้าย "หยุด" Source: Moment RF / Carol Yepes/Getty Images
อย่างไรก็ตามหากจำเลยถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง ขั้นตอนต่อไปคือการลงโทษ

“การลงโทษมีตั้งแต่การไม่ลงบันทึกว่ามีความผิด ไปจนถึงการบริการชุมชน พวกเขาอาจถูกปรับ ติดคุก ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เหยื่อท้อแท้หากพวกเขารู้สึกว่าการลงโทษไม่เพียงพอกับสิ่งที่พวกเขาเผชิญ ในระหว่างการลงโทษเหยื่อสามารถเขียนคำแถลงผลกระทบต่อเหยื่อ (victim impact statement) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะพวกเขาสามารถพูดได้ว่าความผิดนั้นกระทบกับพวกเขาอย่างไรต่อหน้าศาล”

ไม่นานมานี้มีการเปลี่ยนกฎหมายในออสเตรเลียเพื่อให้จำเลยคดีล่วงละเมิดทางเพศต้องพิสูจน์ต่อศาลว่าพวกเขาขอความยินยอมก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์

บางรัฐยังเริ่มใช้การรายงานการล่วงละเมิดทางเพศเพื่อให้ผู้ร้องเรียนสามารถยื่นเรื่องได้อย่างเป็นทางการโดยไม่ต้องผ่านระบบยุติธรรม

“มีระบบการรายงานอย่าง ที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยคุณสามารถรายงานการถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทั้งหมดก่อนขึ้นศาล แต่ยังมีการบันทึกไว้”
ทนายแบรดลีย์เชื่อว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีกับเหยื่อที่กังวลถึงการปกป้องผู้ที่อาจตกเป็นเหยื่อคนอื่นๆ

“บ่อยครั้งผู้รอดชีวิตกังวลถึงผู้ที่อาจตกเป็นเหยื่อคนอื่นๆ ข้อดีของการรายงานแบบนี้คือหากมีเหยื่ออีกรายรายงานเช่นเดียวกัน ตำรวจจะแจ้งแก้เหยื่อทุกคนว่า ‘ปรากฎว่าชายผู้นี้คือผู้กระทำความผิดต่อเนื่อง’ และถามว่า ‘คุณจะไปให้การในศาลไหม?’

อ่านหรือฟังเรื่องการตั้งถิ่นฐานและการย้ายถิ่นฐานในออสเตรเลียได้อีก

บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวหรือการประทุษร้ายทางเพศ โทรสายด่วน 1800 RESPECT ที่เบอร์ 1800 737 732 หรือหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์

หากคุณหรือบุคคลอื่นตกอยู่ในอันตราย โทรสายด่วนฉุกเฉิน 000

บริการให้ข้อมูลและให้ความช่วยเหลือเรื่องสุขภาพจิต 24 ชั่วโมง (Beyond Blue) 1300 224 636 หรือ

บริการสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาทางอารมณ์ 24 ชั่วโมง (Lifeline) โทร 13 11 14 หรือ


คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ 


บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 

Share