Explainer

เงินจ๊อบซีกเกอร์กำลังเปลี่ยนไป นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้

ตั้งแต่อัตราเงินจ๊อบซีกเกอร์ ไปจนถึงโทรศัพท์สายตรงจากนายจ้างถึงรัฐบาล นี่คือมาตรการใหม่ด้านสวัสดิการ ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในออสเตรเลีย ที่กำลังรับเงินช่วยเหลือผู้ว่างงานในขณะนี้

People are seen in long queues outside the Centrelink office in Southport on the Gold Coast, Monday, March 23, 2020. Centrelink offices around Australia have been inundated with people attempting to register for the Jobseeker allowance in the wake of busi

People are seen in long queues outside the Centrelink office in Southport on the Gold Coast, Monday, March 23, 2020. Source: AAP

ในวันอังคารที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา รัฐบาลสหพันธรัฐได้แถลงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับผู้กำลังหางานทำในออสเตรเลีย

เงินสวัสดิการผู้ว่างงานจ๊อบซีกเกอร์ (JobSeeker) ซึ่งในอดีตเคยเรียกกันว่าเงินนิวสตาร์ท (Newstart) กำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างถาวร แต่ไม่ใช่การเพิ่มขึ้นในจำนวนที่บางคนเรียกร้อง

ข้อผูกพันร่วมกัน (mutual obligations) จะกลับมาอีกครั้ง รวมทั้ง “โทรศัพท์สายตรงเพื่อแจ้งข้อมูลจากนายจ้าง” ซึ่งกำลังก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในขณะนี้

นี่คือรายละเอียดสำคัญคร่าวๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ดังกล่าว และคำอธิบายว่ามันหมายความว่าอย่างไรสำหรับประชาชนที่รับเงินสวัสดิการผู้ว่างงานในออสเตรเลีย

จ๊อบซีกเกอร์เพิ่มขึ้น 3.57 ดอลลาร์ต่อวัน

ขณะที่เงินสมทบช่วงการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโคโรนา (coronavirus supplement) กำลังจะยุติลงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ แต่รัฐบาลได้เพิ่มอัตราเงินสวัสดิการบางประเภทให้อย่างถาวร รวมทั้ง การเพิ่มเงินสวัสดิการจ๊อบซีกเกอร์ (JobSeeker)

นั่นหมายความว่า ชาวออสเตรเลียที่รับเงินสวัสดิการผู้ว่างงานนี้ ซึ่งขณะนี้มีราว 1.2 ล้านคน จะได้รับเงินมากขึ้น 50 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์ หรือเพิ่มขึ้น 3.57 ดอลลาร์ต่อวัน ตั้งแต่ 1 เมษายนนี้

หลังการปรับขึ้นแล้ว อัตรารวมของเงินจ๊อบซีกเกอร์ จะอยู่ที่ 615.70 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์ หรือราว 44 ดอลลาร์ต่อวัน

ขณะที่อัตราใหม่นี้จะสูงกว่า อัตรารวม 565.70 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์ที่รัฐบาลจ่ายให้ในช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโคโรนา แต่ลดลงจากเงินที่หลายคนได้รับในขณะนี้ ซึ่งเมื่อรวมเงินสมทบช่วงการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโคโรนา (coronavirus supplement) แล้ว อยู่ที่ 715.70 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์

เงินสวัสดิการอื่นๆ หลายประเภทจะเพิ่มขึ้นด้วยไม่เกิน 50 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์ รวมทั้ง เงินเบี้ยเลี้ยงเยาวชน (Youth Allowance) เงินช่วยเหลือพ่อแม่ (Parenting Payment) เงินออสสตัดดี (Austudy) เงินเบี้ยเลี้ยงเพื่อการยังชีพ แอบสตัดดี (ABSTUDY Living Allowance) เงินสวัสดิการพิเศษ (Special Benefit) เงินเบี้ยเลี้ยงหญิงม่าย (Widow Allowance) เงินเบี้ยเลี้ยงคู่ครอง (Partner Allowance) และเงินเบี้ยเลี้ยงครัวเรือนเกษตรกรรม (Farm Household Allowance)

จำนวนสูงสุดของรายได้ที่ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับผู้รับเงินจ๊อบซีกเกอร์ เงินเบี้ยเลี้ยงครัวเรือนเกษตรกรรม (Farm Household Allowance) เงินช่วยเหลือพ่อแม่ที่มีคู่ครอง (Parenting Payment -partnered) และเงินเบี้ยเลี้ยงเยาวชน (Youth Allowance) จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 150 ดอลลาร์ต่อสองสัปดาห์ตั้งแต่ 1 เมษายนเป็นต้นไป นั่นหมายความว่า หากคุณรับเงินสวัสดิการเหล่านั้นอยู่ คุณจะสามารถหารายได้เพิ่มขึ้นได้ ก่อนที่เงินสวัสดิการที่รับจะลดลงตามสัดส่วนของรายได้ที่หาได้

ข้อผูกพันร่วมกัน (mutual obligations) และ “โทรศัพท์สายตรงถึงรัฐบาลจากนายจ้าง”

รัฐบาลยังได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเกี่ยวกับข้อผูกพันร่วมกัน (mutual obligations) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

การไปพบผู้ให้บริการด้านการหางานแบบตัวต่อตัว จะเริ่มกลับมาในต้นเดือนมีนาคม แต่จะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดด้านสุขภาพของรัฐและมณฑลต่างๆ

จำนวนการหางานต่ำสุดที่คุณต้องทำ หากรับเงินจ๊อบซีกเกอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 15 งานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน และจากนั้นจะกลับไปเป็นเหมือนช่วงก่อนการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาคือ 20 งานตั้งแต่ 1 กรกฎาคม

นอกจากนี้ คุณจะต้องลงเรียนหลักสูตรระยะสั้นหรือหาประสบการณ์การทำงาน หลัง 6 เดือนไปแล้ว

แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะมีการจัดตั้ง “บริการโทรศัพท์สายตรงจากนายจ้าง” ที่จะให้นายจ้างสามารถติดต่อรัฐบาลได้โดยตรงเกี่ยวกับผู้รับเงินสวัสดิการที่ปฏิเสธโอกาสในการทำงาน

นางมิเคเลีย แคช รัฐมนตรีด้านการจ้างงาน ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในการแถลงเกี่ยวกับโครงการว่า “หากผู้ใดสมัครงาน แล้วได้รับการเสนองานให้และพวกเขามีคุณสมบัติที่จะทำงานได้ แต่พวกเขาปฏิเสธ ขณะนี้นายจ้างสามารถติดต่อกระทรวงของดิฉันและรายงานให้เราทราบว่าบุคคลนั้นปฏิเสธที่จะทำที่เหมาะสมกับพวกเขา”

“นั่นหมายความว่า กระทรวงของดิฉันจะสามารถตามเรื่องกับบุคคลนั้น หรือทางจ๊อบแอกทีฟ (Jobactive) จะสามารถตามเรื่องกับบุคคลนั้นเพื่อสอบถามว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิเสธงานที่เหมาะสม ในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่มีเหตุผลที่สมควร จะถือว่าพวกเขาละเมิดข้อกำหนด”

ผู้คนคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

นั่นขึ้นอยู่กับว่าคุณถามใคร

องค์กรด้านสวัสดิการสังคมและการต่อต้านความยากจน นักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน และผู้รับเงินสวัสดิการ ได้ตำหนิการเพิ่มเงินจ๊อบซีกเกอร์ที่เล็กน้อยนี้ว่า น่ากังวัล หรือบ้างก็ว่า “เป็นการทรยศอย่างไม่มีหัวใจ” และ “เป็นความเหี้ยมโหดอย่างที่สุด” หลายคนได้เรียกร้องให้เพิ่มเงินสวัสดิการผู้ว่างงานเป็นจำนวนเงินมากกว่านี้

แต่นายมอร์ริสัน กล่าวปกป้องการเพิ่มเงินให้ในจำนวนดังกล่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามเขาในวันอังคาร ที่ 23 ก.พ. โดยกล่าวว่า “มักมีบางคนเสนอแนะอยู่เสมอว่า มันควรมากกว่านี้”

“นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมรัฐบาลจึงได้ใช้ดุลยพินิจที่จะทำให้มันสมดุลเหมาะสม ไม่เพียงแค่การกำหนดอัตราเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเงื่อนไขตามบทบัญญัติสำหรับการรับเงินนี้ด้วย”

นอกจากนี้ บางคนยังตำหนิโทรศัพท์สายด่วนเพื่อแจ้งข้อมูลจากนายจ้าง ซึ่งบางคนเกรงว่า อาจถูกนายจ้างนำไปใช้เพื่อข่มเหงลูกจ้างที่มีความเปราะบาง

นางแอน รัสตัน รัฐมนตรีด้านบริการสังคม กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวที่ถูกประกาศออกมาในวันอังคารที่ 23 ก.พ. นั้น “เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวกับการทำให้เกิดความสมดุล”

“เราจำเป็นต้องมีระบบที่ยุติธรรมและยั่งยืนสำหรับผู้คนที่มีความจำเป็นและสำหรับผู้เสียภาษีที่จ่ายเงินสำหรับโครงการ” นางรัสตัน กล่าว


คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์  บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้ท่านพลาดสถานการณ์ล่าสุด

นอกจากนี้ คุณยังสามารถรับฟังข่าวสารล่าสุดเป็นภาษาไทยผ่านทางวิทยุออนไลน์ได้ที่แอปฯ SBS Radio

Share
Published 1 March 2021 11:08am
Updated 1 March 2021 11:33am
By SBS News
Presented by Parisuth Sodsai
Source: SBS News


Share this with family and friends