Settlement Guide: เมื่อชีวิตแต่งงานจบลงท่ามกลางวิกฤตโควิด

Unhappy couple

Source: Getty Images/fizkes

จุดจบของชีวิตแต่งงานนั้น บ่อยครั้งได้สร้างความเจ็บปวดและความบอบช้ำทางจิตใจ การแยกทางท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนา ทำให้กระบวนการต่าง ๆ มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วนั้น คุณควรทำอย่างไร


LISTEN TO
When a marriage breaks down during COVID-19 image

Settlement Guide: เมื่อชีวิตแต่งงานจบลงท่ามกลางวิกฤตโควิด

SBS Thai

12/10/202011:33
ไม่มีคู่แต่งงานใดคาดหวังให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันในชีวิตคู่

แต่ในการต้องอยู่แต่ในบ้าน และมาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจสร้างความเครียดในชีวิตครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง จากข้อมูลของ คุณอนาสตาเซีย ปานาโยทิดิส (Anastasia Panayiotidis) ผู้จัดการทั่วไปจากหน่วยงาน Relationships Australia Victoria
หากผู้หญิงไม่ได้รับความเอาใจใส่อย่างที่ควร และต้องรับภาระต่าง ๆ อย่างการเรียนทางไกล รวมถึงการเลี้ยงดูลูก ๆ และการทำงานบ้านแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกขังอยู่ในคุก คุณปานาโยทิดิส กล่าว
คุณปานาโยทิดิส บอกว่า รอยร้าวในชีวิตคู่นั้นจะปรากฏชัดในช่วงโควิด และนำไปสู่การแยกทาง และอาจลุกลามกลายเป็นความรุนแรง
ในการโทรไปขอความช่วยเหลือที่บริการ 1800RESPECT หรือโทรไปที่ทริปเปิล ซีโร (000) หากเกิดสถานการณ์ที่รุนแรงจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต คุณปานาโยทิดิส กล่าว
คุณฟลอเรนซ์ ครูซ มอนทัลโว (Florence Cruz Montalvo) ทนายความด้านบริการผู้ลี้ภัย จากศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายรัฐนิวเซาท์เวลส์ (Legal Aid NSW) ได้สังเกตว่า มีคู่ครองเลือกที่จะแยกทางในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ในรอบศตวรรษครั้งนี้เพิ่มมากขึ้น
การพยายามแยกกันอยู่นั้นเป็นเรื่องยากในช่วงโควิด ซึ่งเป็นเวลาที่หลายคนรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะออกไปข้างนอกเพื่อหาที่อยู่ใหม่ คุณมอนทัลโว กล่าว
คุณมอนทัลโว กล่าวอีกว่า สำหรับพ่อแม่ที่แบ่งความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตร มันเป็นเรื่องที่ดีในการเตรียมแผนสำหรับการกักตัวเฝ้าระวังอาการ เพื่อกำหนดว่าควรทำอย่างไร หากใครสักคนอาจมีอาการต้องสงสัย หรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา รวมถึงกรณีต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่นี้
มันสำคัญที่พ่อแม่จะเข้าใจว่า หากคุณติดเชื้อไวรัส หรือมีอาการต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อ การกักตัวนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น คุณมอนทัลโว กล่าว
รายงาน “ราคาที่แท้จริงของการแยกทาง (Real Cost of Separation)” ฉบับล่าสุด ที่รายงานโดยบริษัท เรียล อินชัวร์แรนซ์ (Real Insurance) เปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายของชาวออสเตรเลียในการหย่าร้างและการยื่นเอกสารต่าง ๆ นั้น มากถึง $45 ล้านดอลลาร์ต่อปี และค่าใช้จ่ายทางกฎหมายมากถึง $3,700 ล้านดอลลาร์

คุณปานาโยทิดิส แนะนำให้ผู้ที่กำลังจะแยกทางนั้นหาหนทางในการประณีประนอม เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่สูงเกินไป
ค่าใช้จ่ายนั้นสูงมาก เวลาหนึ่งวันในศาล อาจหมายถึงเงินที่ต้องจ่ายหลายพันดอลลาร์ให้กับทนาย การประนีประนอมจะทำให้คุณไม่ต้องพบเจอกับเรื่องปวดใจ รวมถึงประหยัดเงินไปได้เป็นจำนวนมาก คุณปานาโยทิดิส กล่าว
คุณปานาโยทิดิส กล่าวว่า แม้ว่าการประนีประนอมจะไม่ได้ผลในกรณีความขัดแย้งที่รุนแรงมาก ซึ่งรวมถึงความรุนแรงในครอบครัว แต่การแยกทางด้วยไมตรีจิตนั้นจะเป็นประโยชน์มากกว่า ในการจัดการเรื่องการพบปะกับลูก ๆ การตกลงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และเรื่องสินทรัพย์ที่มีร่วมกัน

แม้การสิ้นสุดชีวิตคู่นั้นจะเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต รายงานดังกล่าวยังได้แสดงให้เห็นว่า ชาวออสเตรเลียที่แยกทางหรือหย่าร้างร้อยละ 90 มีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น รวมถึงปรับตัวได้ง่ายขึ้นหลังจากการแยกทาง

คุณมอนทัลโว กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีแผนจะแยกทางนั้นกังวล โดยรายงานดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า คู่รักที่กำลังจะแยกทางมากกว่าครึ่งหนึ่ง  มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นตามมาภายหลัง

บ่อยครั้งที่การตัดสินใจแยกทางมักเป็นเรื่องการประเมินว่า จะมีความมั่นคงทางการเงินเพียงใดในการสิ้นสุดความสัมพันธ์
หากคุณกำลังจะย้ายออกจากบ้าน คุณต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องค่าเช่าที่พักอาศัย คุณจะต้องจ่ายเงินมัดจำ ซึ่งโดยทั่วไปอาจอยู่ที่ประมาณ $1,600 ดอลลาร์ คุณมอนทัลโว กล่าว
หากคุณมีความเดือดร้อนทางการเงิน คุณมอนทัลโว แนะนำให้พูดคุยกับเซนเตอร์ลิงก์ (Centrelink) เพื่อดูว่าคุณมีคุณสมบัติในการขอความช่วยเหลือค่าเช่าที่พักอาศัย (rent assistance) หรือไม่ หรือติดต่อบริการด้านเคหะสถานในพื้นที่ท้องถิ่นของคุณ

คุณมอนทัลโว กล่าวว่า พ่อแม่บางคนอาจกำลังประสบกับความเครียด ในการวางแผนในส่วนของการเลี้ยงดูบุตรร่วมกัน (co-parenting) ท่ามกลางประกาศด้านสาธารณสุขที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บนพื้นฐานของจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา

ในกรณีของรัฐนิวเซาท์เวลส์นั้น ก่อนหน้านี้ เมื่อมาตรการจำกัดห้ามได้ถูกประกาศใช้ ภายใต้คำสั่งด้านสาธารณสุข มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พ่อแม่จะไปพบกับลูกของตนในสวนสาธารณะ หรือที่ห้างสรรพสินค้า 

เมื่อมาตรการจำกัดห้ามได้รับการผ่อนคลาย พ่อแม่บางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจ ในการให้ลูก ๆ ไปอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 

มันเป็นเรื่องของการ ‘พบกันครึ่งทาง’ ระหว่างอีกฝ่ายหนึ่ง

คุณมอนทัลโว กล่าวว่า การจำกัดการแพร่ระบาดทางสังคมบนพื้นฐานของระยะทาง มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของพ่อแม่ในการเลือกที่อยู่อาศัยหลังจากการแยกทาง เนื่องจากมีการจำกัดความจุในการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถโดยสารประจำทาง และรถไฟ   

แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายอย่างมาก นั่นคือเมื่อพ่อแม่คนใดคนหนึ่งเลือกที่จะย้ายไปอยู่ต่างรัฐและมณฑลพร้อมกับลูก ๆ

ในกรณีของผู้ที่ได้รับคำสั่งในการเลี้ยงดูบุตร (parenting orders) ซึ่งอนุญาตให้คุณใช้เวลากับลูก ๆ ได้ อาจได้รับการยกเว้นจากมาตรการจำกัดห้ามในการข้ามพรมแดน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละรัฐและมณฑลที่อาศัย

พ่อแม่ที่เพิ่งแยกทางกันได้ไม่นาน และได้มีข้อตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการ มีความเป็นไปได้น้อยที่จะได้รับการยกเว้นให้ข้ามพรมแดน ทำให้การพบกันเป็นตัวตนนั้นเป็นไปไม่ได้ในเวลานี้
“การพูดคุยกันผ่านทางวิดีโอแชต และการจัดเวลาให้สามารถทำสิ่งนี้ได้บ่อยขึ้น อาจเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ในเวลานี้” คุณมอนทัลโว กล่าว
ชาวออสเตรเลีย 2 ใน 3 ที่แยกทางกับคู่ครองนั้นบอกว่า ความสูญเสียทางสุขภาพจิตและอารมณ์ของพวกเขา คือสิ่งที่ยากที่สุดในการหย่าร้าง 

คุณปานาโยทิดิส ได้กระตุ้นให้ผู้ที่เผชิญกับความเครียดอย่างมากในช่วงนี้ ให้ไปรับการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตจากผู้เชี่ยวชาญ
บางครั้ง มันก็ยังมีเหตุผลที่ดีในการแยกทาง เพราะมันอาจเกิดความรุนแรงในครอบครัวได้ ซึ่งจะทำให้ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในความทุกข์ร่วมกัน คุณปานาโยทิดิสกล่าว
เมื่อชีวิตแต่งงานเป็นไปไม่ได้อย่างที่คิด ในบางครั้งมันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องก้าวข้ามข้อจำกัดทางวัฒนธรรม เพื่อช่วยชีวิตใครสักคน หรือเพื่อให้คุณอยู่ในความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ด้วยการออกจากสถานการณ์ที่สร้างความเครียด ความโศกเศร้า และความโดดเดี่ยว
ผู้ที่ประสบกับความบอบช้ำทางจิตใจอาจนอนหลับและรับประทานอาหารไม่เพียงพอ มีความเครียดในระดับสูง และถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีความเจ็บปวดอย่างมากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คุณปานาโยทิดิส กล่าว
ในช่วงเวลาที่มีความเครียดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ คุณมอนทัลโว กล่าวว่า การไม่สามารถขอความช่วยเหลือและรับคำปรึกษา อาจทำให้เกิดผลที่ตามมาอย่างไม่คาดคิด ที่กระทบกับความสามารถในการเลี้ยงดูลูก ๆ เนื่องจากสุขภาพจิตของคุณอาจมีผลกระทบกับสุขภาพจิตและชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา

และหากสุขภาพจิตของคุณเริ่มมีความน่าเป็นห่วง เจ้าหน้าที่พิทักษ์เด็ก จากหน่วยงานสังคมสงเคราะห์และความยุติธรรม (Department of Communities and Justice) อาจต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

มีการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า คู่ครองเกือบ 6 ใน 10 มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อลูก ๆ เมื่อชีวิตแต่งงานสิ้นสุดลง นพ.แอนดรูว์ ฟูลเลอร์ (Dr Andrew Fuller) นักจิตวิทยากล่าวว่า พ่อแม่เด็กอีกฝ่ายจำเป็นที่จะต้องดูแลอีกฝ่าย ไม่ว่าสถานภาพของทั้งสองจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เขากล่าวอีกว่า หากคุณทำให้ลูกแน่ใจว่าคุณรักพวกเขา และดูแลอีกฝ่ายหนึ่งที่ตอนนี้สถานภาพเปลี่ยนไปแล้วด้วยความเคารพในฐานะบุคคลคนหนึ่ง ลูก ๆ อาจไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ  จากการที่ครอบครัวต้องแยกทาง
หากคุณดูแลอีกฝ่ายอย่างดีในฐานะบุคคลคนหนึ่ง เด็ก ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ แต่เมื่อเราติดอยู่ในโลกของการชี้หาตัวคนผิด แล้วต้องอธิบายว่าเพราะอะไรจึงต้องมีคนผิด หรืออะไรทำนองนั้น นั่นจะทำให้เด็ก ๆ รู้สึกแตกแยก นพ.ฟูลเลอร์กล่าว
ขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นเกิดขึ้น จากการที่หลายสิ่งเปลี่ยนไปหลังความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลง นพ.ฟูลเลอร์กล่าวว่า การสิ้นสุดความสัมพันธ์ในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนแปลงตนเองอีกครั้ง 

ประสบการณ์ใหม่นี้ สามารถทำให้คุณมีความพร้อมในความสัมพันธ์ใหม่มากขึ้น เนื่องจากความสัมพันธ์ที่แล้วมา ได้สร้างบทเรียนให้คุณว่าควรจะทำอย่างไร และควรให้คุณค่าอย่างไรในความสัมพันธ์ใหม่ในอนาคต แนวคิดนี้จะเปิดโอกาสให้เรารักษาแผลในใจ พร้อมกับเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ รวมถึงเข้าใจความต้องการของตัวเองที่แท้จริง 


สำหรับบริการสนับสนุนและให้คำแนะนำ โทรไปที่หมายเลข 1300 364 277 เพื่อติดต่อกับสำนักงาน ในพื้นที่ของคุณ

สำหรับความช่วยเหลือทางกฎหมาย โปรดติดต่อหน่วยงานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในรัฐและมณฑลที่ท่านอาศัย

หากคุณประสบกับความรุนแรงในบ้านและครอบครัว ติดต่อที่หมายเลข 1800 737 732 () เพื่อรับคำแนะนำและความช่วยเหลือ

หากคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย โปรดโทรไปยังหมานเลข 000 ในทันที

หากคุณต้องการบริการแปลและล่าม โปรดติดต่อบริการแปลและล่ามแห่งชาติ (TIS National) ที่หมายเลขโทรศัพท์ 13 14 50 และขอให้เจ้าหน้าที่ต่อสายไปยังองค์กรหรือหน่วยงานที่คุณต้องการ


เรื่องราวที่น่าสนใจจากเอสบีเอส ไทย

รัฐบาลเร่งแจงรายละเอียดข้อกำหนดสอบภาษาวีซ่าคู่ครอง


Share