จ๊อบคีพเปอร์สร้างธุรกิจ “ผีดิบ” ที่ไม่อาจฟื้นตัวหลังเลิกล็อกดาวน์

มีธุรกิจกว่า 910,000 แห่งในออสเตรเลีย ที่ได้ลงทะเบียนขอรับเงินจ๊อบคีพเปอร์ (JobKeeper) เพื่อช่วยจ่ายค่าจ้างลูกจ้าง แต่ธุรกิจบางแห่งอาจไม่กลับมาเปิดกิจการอีก

A runner passes a closed shop in Crows Nest in Sydney.

A runner passes a closed shop in Crows Nest in Sydney. Source: AAP

กำลังมีความเป็นห่วงกันว่า โครงการให้เงินชดเชยค่าจ้างจ๊อบคีพเปอร์ (JobKeeper) กำลังสนับสนุนธุรกิจที่ไม่มีความสามารถจะอยู่รอดได้ ซึ่งเรียกกันว่าธุรกิจ “ซอมบี (ผีดิบ)” ที่ต้องปิดกิจการไปเมื่อรัฐบาลยุติการให้เงินชดเชยค่าจ้าง 1,500 ดอลลาร์ต่อ 2 สัปดาห์ต่อลูกจ้าง 1 คน ถึงแม้ชีวิตจะกลับไปเป็นปกติในออสเตรเลีย ธุรกิจเหล่านี้ ก็ไม่มีความสามารถจะอยู่รอดได้

ธุรกิจต่างๆ ในออสเตรเลียกว่า 910,000 แห่งได้ลงทะเบียนของรับเงินชดเชยค่าจ้าง เพื่อจ่ายให้ลูกจ้าง 3.5 ล้านคน ซึ่งปรับจำนวนให้ลดลงจาก 6.5 ล้านคนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เนื่องจากความผิดพลาดในการรายงาน

คุณแคลร์ แอตคินสัน รองผู้อำนวยการของบริษัทดีลอยท์ (Deloitte) กล่าวว่า ธุรกิจจำนวนมากที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการรับเงินชดเชยค่าจ้างนี้ แสดงให้เห็นว่า มีธุรกิจมากเพียงไรที่มีความเปราะบาง เมื่อความช่วยเหลือนี้สิ้นสุดลง

“เรากำลังพูดถึงธุรกิจที่เป็นสัดส่วนสูงมาก ที่อาจตกอยู่ในธุรกิจประเภทนี้” คุณแคลร์ แอตคินสัน บอกกับ เอสบีเอส นิวส์

ธุรกิจที่มีผลประกอบการ (turnover) ไม่เกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าจ้างให้ลูกจ้างถึง 6 เดือน หากธุรกิจมีรายได้ลดลงอย่างน้อยร้อยละ 30

คุณแอตคินสัน เตือนว่า ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งอยู่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การให้บริการต้อนรับ (hospitality) และการค้าปลีก “มีความเสี่ยงสูงกว่า” ที่จะกลายเป็นธุรกิจ “ซอมบี (ผีดิบ)” ที่อยู่ในภาวะไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ แต่ก็ไม่ล้มละลายไป

“ธุรกิจจะต้องมีรายได้ที่ลดน้อยลงอย่างมาก จึงจะมีสิทธิรับความช่วยเหลือ ดังนั้น เราจึงไม่สามารถสันนิษฐานว่ารายได้ของพวกเขาจะกลับมา ขณะที่มีการเริ่มเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง” คุณแอตคินสัน กล่าว

ภาคอุตสาหกรรมค้าปลีก ได้เห็นธุรกิจหลายแบรนด์ รวมทั้ง Harris Scarfe แบรนด์ EB Games และKarren Millen ปิดร้านขายปลีกของตนไปกว่า 600 แห่ง ท่ามกลางความกดดันจากจำนวนลูกค้าที่ลดลง

แต่ ศ.แกรี มอร์ติเมอร์ นักวิเคราะห์ด้านการค้าปลีกของคณะธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ควีนส์แลนด์ กล่าวว่า ภาพที่แท้จริงของการปิดตัวของธุรกิจต่างๆ จะไม่ชัดเจนจนกว่า จะมีการยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด

“สิ่งที่น่าวิตกคือ จะมีธุรกิจซอมบีเหล่านี้มากเท่าไรที่อาจเดินออกจากเศรษฐกิจไปเลย เมื่อรัฐบาลหยุดให้เงินช่วยเหลือเหล่านี้” ศ.มอร์ติเมอร์ บอกกับ เอสบีเอส นิวส์

“เราอาจได้พบแบรนด์จำนวนหนึ่งที่ขอเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย หรือหลายแห่งอาจเลือกที่จะไม่เปิดร้านค้าที่มีทั้งหมดอีกต่อไปก็ได้”

ร้านอาหารและร้านกาแฟจะปิดตัว

กลุ่มอุตสาหกรรมการให้บริการต้อนรับ เตือนว่า มาตรการจำกัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา อาจทำให้ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมนี้หายวับไปถึงร้อยละ 25 ในออสเตรเลีย แม้ว่าต่อมาจะมีการยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ ก็ตาม

ร้าน คาเฟ เลาจ์ (Café Lounge) ในย่านเซอร์รี ฮิลส์ ในซิดนีย์ เป็นหนึ่งในธุรกิจเหล่านั้น ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะปิดประตู ขณะเผชิญความกดดันทางเศรษฐกิจในช่วงการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา

คุณ หลุยส์ เวสการ์ต เจ้าของร้าน มีใบอนุญาตเปิดธุรกิจเป็นสถานที่จัดการแสดงดนตรีสดและการแสดงตลกมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีก่อนจะปิดตัวลงในเดือนนี้
Cafe Lounge was known for its live music and comedy events before closing down.
Cafe Lounge was known for its live music and comedy events before closing down. Source: Supplied
เขากล่าวว่า การตัดสินใจนี้นั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขา

“มันดูเหมือนว่าจะแพงเกินไปที่จะเปิดธุรกิจต่อไป” เขาบอกกับ เอสบีเอส นิวส์

“แนวคิดที่ร้านที่ตั้งอยู่ใต้ดินซึ่งไม่มีหน้าร้านริมถนน และจะต้องพยายามขายของเทคอะเวย์ หรือทำให้กลายเป็นร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิศมัยเลย แล้วมันใช้ต้นทุนมากเกินกว่าที่จะคุ้มค่า”

สมาคมอุตสาหกรรมร้านอาหารและธุรกิจจัดเลี้ยงแห่งออสเตรเลีย (Restaurant & Catering Industry Association of Australia) ประมาณการว่า ธุรกิจถึงร้อยละ 25 ในอุตสาหกรรมนี้อาจเผชิญการปิดกิจการอย่างถาวร

“เราอาจเห็นการแพร่หลายของการปิดธุรกิจ หากไม่มีการทำอะไรเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจเหล่านั้นต่อไป ขณะที่ยังคงมีการจำกัดจำนวนลูกค้าอยู่” คุณเวส แลมเบิร์ต ผู้บริหารของสมาคม บอกกับ เอสบีเอส นิวส์

“นี่อาจเป็นหายนะสำหรับอุตสาหกรรมของเรา และเมื่อการปกป้องไม่ให้ล้มละลายจะไม่มีให้อีกต่อไป”

คาดว่าธุรกิจส่วนใหญ่จะสามารถเปิดให้บริการแก่ลูกค้าได้มากถึง 100 คนต่อครั้งภายในเดือนกรกฎาคมนี้

แต่คุณ เวสการ์ต กล่าวว่า หนทางที่ยากลำบากเบื้องหน้าส่งผลให้เขาเลือกปิดกิจการ เพราะวิตกว่าธุรกิจของเขาอาจต้องเผชิญกับหนี้สินถึง 50,000 ดอลลาร์ใน 6 เดือนข้างหน้า

เขากล่าวว่า การตัดสินใจปิดกิจการมาพร้อมกับความโล่งใจ

“ผมดีใจที่ได้ออกจากภาวะก้ำกึ่งที่ไม่รู้ชะตากรรมเสียที และผมหวังอย่างยิ่งว่าผู้ที่ทำธุรกิจต่อไปจะสามารถอยู่รอดได้” คุณเวสการ์ต กล่าว

การทบทวนโครงการในเดือนมิถุนายน

ผู้บริหารของสมาคมค้าปลีกแห่งชาติ คือคุณโดมินิก แลมบ์ กล่าวว่า การให้เงินชดเชยจากรัฐบาลมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้ธุรกิจไม่ได้รับความเสียหายมากนัก

“คำถามสำคัญขณะนี้คือ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อการเงินช่วยเหลือสิ้นสุดลง?” คุณแลมบ์ ตั้งคำถาม

“จะมีธุรกิจมากมายที่คงไม่สามารถอยู่รอดได้เลยในช่วงนี้ หากไม่มีเงินช่วยเหลืออย่างเงินจ๊อบคีพเปอร์”

รัฐบาลสหพันธรัฐ จะพิจารณาทบทวนโครงการให้เงินชดเชยค่าจ้างจ๊อบคีพเปอร์ในเดือนหน้า เพื่อดูว่าควรขยายโครงการให้ยาวนานกว่าช่วงสิ้นสุดที่ขณะนี้กำหนดไว้ที่วันที่ 27 กันยายนนี้หรือไม่

ความผิดพลาดในการรายงานที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หมายความว่าโครงการนี้ จะใช้งบประมาณ 70,000 ล้านดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 130,000 ล้านดอลลาร์ อย่างที่รัฐบาลเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีความกดดันให้รัฐบาลขยายโครงการออกไป

แต่นายจอช ไฟรเดนเบิร์ก รัฐมนตรีคลัง ยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่สำหรับโครงการ แต่กล่าวเมื่อวันจันทร์ (25 พ.ค.) ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนนานขึ้น
นายแอนโทนี อัลบานีซี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เรียกร้องให้มี “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ที่ค่อยเป็นค่อยไปสำหรับการให้เงินชดเชยค่าจ้าง เพื่อหลีกเลี่ยง “ภาวะช็อกต่อระบบเศรษฐกิจ” หากมีการยกเลิกโครงการอย่างกระทันหัน

บริษัทดีลอยท์ (Deloitte) ยังเตือนด้วยว่า การยุติการให้ความช่วยเหลืออย่างฉับพลัน อาจเท่ากับเป็นการเพิ่มอัตราการว่างงานให้เลวร้ายลงไปอีก

การว่างงานที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 เป็น 6.2 เมื่อเดือนที่แล้ว หมายความว่า มีประชาชนราว 595,000 คนที่ถูกบีบให้ต้องตกงาน

คุณพอล ซาห์รา ผู้บริหารของสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งออสเตรเลีย กล่าวว่า เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วไปว่า ธุรกิจค้าปลีกหลายแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนักเพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา

“การยุติการให้เงินจ๊อบคีพเปอร์ ที่มีกำหนดจะเกิดขึ้นหลังเดือนกันยายน จะเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบเศรษฐกิจของเราและรูปแบบการจับจ่ายของชาวออสเตรเลีย” คุณซาห์รา บอกกับ เอสบีเอส นิวส์

“เราคาดว่า ธุรกิจค้าปลีกจะจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในระดับหนึ่งต่อเนื่องต่อไป”

ประชาชนในออสเตรเลียต้องอยู่ห่างกับผู้อื่นอย่างน้อย 1.5 เมตร คุณสามารถตรวจดูว่ามีข้อจำกัดใดบ้างที่บังคับใช้อยู่ในรัฐและมณฑลของคุณ

การตรวจเชื้อไวรัสโคโรนาขณะนี้สามารถทำได้ทั่วออสเตรเลีย หากคุณมีอาการของไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้ติดต่อขอรับการตรวจเชื้อได้ด้วยการโทรศัพท์ไปยังแพทย์ประจำตัวของคุณ หรือโทรศัพท์ติดต่อสายด่วนให้ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus Health Information Hotline) ที่หมายเลข 1800 020 080

รัฐบาลสหพันธรัฐออสเตรเลียยังได้มีแอปพลิเคชัน COVIDSafe เพื่อติดตามและแจ้งเตือนผู้ที่พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้จากแอปสโตร์ (app store) สำหรับโทรศัพท์มือถือของคุณ อ่านเกี่ยวกับแอปพลิเคชันนี้
คุณสามารถอ่านข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เป็นภาษาไทยได้

ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่ 

Share
Published 26 May 2020 1:22pm
By Tom Stayner
Presented by Parisuth Sodsai
Source: SBS News


Share this with family and friends